“เมืองร่างกุ้งมีทางรถไฟสายสาขาทำเลียบริมน้ำมารับส่งสินค้า พ้นทางรถไฟสายริมน้ำเข้าไปถึงตัวเมืองสร้างตึกรามตามแผนผัง…..ชาวเมืองดูจะเป็นแขกอินเดียไปเสียทั้งนั้น….กรรมกรทำการต่าง ๆ แม้จนคนแจวเรือและขับรถจ้าง คนรับใช้ตลอดจนคนขายของ”
ดังความตอนหนึ่งในพระนิพนธ์ “เที่ยวเมืองพม่า” ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรง เมื่อครั้งเสด็จไปเยือน “ร่างกุ้ง” (Rangoon) ราวเดือนมกราคม พ.ศ. 2478 ด้วยเรือโดยสารของบริษัทบริติชอินเดีย ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านของไทยยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ในชื่อประเทศ “พม่า” (ฺBurma) และ “ร่างกุ้ง” มีเจ้าเมืองเป็นฝรั่ง ชื่อว่าเซอร์ ฮิวจ์ สตีเฟนสัน (Sir Hugh Stephenson)
74 ปีต่อมา ผู้เขียนได้ไปเยือนเมืองเดียวกันนี้ภายใต้ชื่อ “ย่างกุ้ง” (Yangon) ในยุคที่ “พม่า” ได้รับอิสระภาพมาแล้วกว่า 60 ปี เปลี่ยนชื่อเป็นว่า “เมียนมาร์” (Myanmar) ปกครองโดยรัฐบาลทหาร พบว่าสภาพเมืองทั่วไปดูไม่ต่างจากที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงบรรยายไว้ในครั้งนั้น
เมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเมียนมาร์แห่งนี้ ยังคงเบียดอัดพลุกพล่านไปด้วยชาวพม่าผิวสีเข้ม เค้าหน้ากระเดียดไปทางอินเดีย ผู้ชายใส่เสื้อสีอ่อนแขนยาวนุ่งโสร่ง ผู้หญิงนุ่งผ้าซิ่น ใส่รองเท้าแตะ บ้วนหมากลงบนพื้นเป็นระยะ ๆ และต้อง “ปั่นไฟ” ใช้ เองเพื่อหล่อเลี้ยงธุรกิจ
ไม่แปลกนักหากพบเห็นคนกว่าครึ่งในย่างกุ้งเป็นชาวอินเดีย เพราะในช่วง ค.ศ. 1886 –1948 ที่ถูกอังกฤษปกครองเบ็ดเสร็จ นามแผ่นดินถูกเปลี่ยนเป็น “พม่า” เมืองหลวงถูกย้ายจากมัณฑเลย์มายัง “ร่างกุ้ง” และ อังกฤษเห็นพม่าเป็นเพียงจังหวัดหนึ่งของอินเดียเท่านั้น พร้อมกับนำชาวอินเดียเข้ามาทำงานจำนวนมาก จนผสมกลมกลืนกับคนพม่าไป
ชาวพม่าเชื้อสายอินเดียอาจจะถูกขับไล่ออกนอกประเทศไปบ้างหลังจากที่พม่าได้อิสรภาพคืนเมื่อ 4 มกราคม 1948 (พ.ศ. 2491) แต่โดยทั่วไป รัฐบาลทหารก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงบ้านเมืองเชิงวัตถุมากมายนัก นอกจากพยายามชำระจิตใจด้วยการเปลี่ยนชื่อประเทศและเมืองเป็น “เมียนมาร์” และ”ย่างกุ้ง”
ย่างกุ้งยังคงความเป็นเมืองท่า และศูนย์กลางธุรกิจ ริมแม่น้ำอิรวดี มีรางรถไฟตามแนวชายฝั่งเพื่อลำเลียงสินค้าและน้ำมันเช่นอดีต เพียงแต่เปลี่ยนผู้รับผลประโยชน์จาก “คนนอก” มาเป็น “คนใน” เท่านั้น ทำให้กิจกรรมบริเวณนี้รายรอบไปด้วย “ธุรกิจของรัฐบาล” วุ่นวายไปด้วยผู้คนและข้าวของสินค้ารอการขนถ่าย ดังนั้นนักท่องเที่ยวที่คาดหวังได้เห็นภูมิทัศน์ริมแม่น้ำเปิดโล่งโปร่งสบายแนวโรแมนติคก็ควรทำใจไว้แต่เนิ่น ๆ
แต่ก็ทดแทนได้ด้วยการเพลิดเพลินชมอาคารสไตล์โคโลเนี่ยลด้านตะวันออกของเมือง โดยยึดวงเวียนเจดีย์สุเล หรือ “สุเลพะยา” (Sule Paya) ทรงระฆังคว่ำแปดเหลี่ยมเป็นจุดศูนย์กลาง
ชื่อถนนต่าง ๆ ของย่างกุ้งค่อนข้างชวนสับสนหัวฟู เพราะนอกจากป้ายมีขนาดเล็กและหายาก ยังมีทั้งชื่อในแบบอังกฤษและท้องถิ่น โดยอย่างแรกตั้งขึ้นในสมัยอาณานิคม หลังจากอังกฤษจัดผังเมืองแนวตารางตามธรรมเนียม ยังตั้งชื่อตามความคุ้นเคยจากแผ่นดินแม่ของตนด้วย เช่น ถนนสแตรนด์ริมแม่น้ำอิระวดี ก็ใช้ชื่อเดียวกับถนนเลียบแม่น้ำเทมส์ในกรุงลอนดอน เป็นต้น พอพม่าได้รับอิสรภาพคืน หลาย ๆ ชื่อก็ถูกเปลี่ยนไปเป็นชื่อท้องถิ่นตามกระแสชาตินิยม
บนถนนสุเลพะยามุ่งสู่แม่น้ำอิรวดี ช่วงแยกตัดกับถนนเมอร์ชานต์ (Merchant) หรือเส้นทางธุรกิจสะพรั่งในยุคนั้น จะเห็นตึกสีขาว รูปทรงเหลี่ยมดูน่าเชื่อถือ จัดเป็นผลงานในช่วงปลายในยุคอังกฤษเถลิงอำนาจก็ย่อมได้ เพราะสร้างเมื่อค.ศ. 1935 เพื่อเป็นธนาคารกลางอินเดีย (Reserve Bank of India)มีหน้าที่จัดระบบการเงินต่าง ๆ ของพม่าที่ในครั้งนั้นเป็นเพียงเขตปกครองหนึ่งของอินเดีย ครั้นตกถึงมือญี่ปุ่น ในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา ญี่ปุ่นก็ใช้ธนาคารแห่งนี้จัดการธุรกรรมการเงินในพม่าต่อไป ซ้ำยังพิมพ์ธนบัตรของตัวเองที่นี่ด้วย และแล้วญี่ปุ่นก็เผาธนาคารนี้ในปี 1945 หลังจากฝ่ายพันธมิตรเข้ากวาดล้าง ปัจจุบันเป็นที่ทำการของธนาคารพม่า(Central Bank of Burma)
มุ่งหน้าสู่ถนนสแตรนด์ (Strand) เลียบแม่น้ำอิระวดี จะเห็นตึกขาวโพลนทรงหอคอยตั้งตระหง่านตรงมุมถนนปันโซดาน (Pansodan ชื่อเก่าเรียกว่าแฟร – Phayre) เป็นที่ตั้งของกรมเจ้าท่า (Port Authority ) ใกล้ ๆ กันนั้นจะมีด่านศุลกากร (Custom House) เป็นตึกสีน้ำตาลอิฐแกมขาวสอดหอคอยสีขาวไว้ตรงกลาง ออกแบบโดยจอห์น เบก (John Begg) สถาปนิกชื่อก้องชาวสก็อต ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของรัฐบาลอินเดีย หลังจากที่เขาก่อตั้งบริษัทด้านสถาปัตยกรรมที่อินเดีย ในปี 1901และเป็นคนเดียวกับที่ออกแบบตึกกรมไปรษณีย์โทรเลขที่ถนนแฟรด้วย
ลองกวาดสายตาในบริเวณไม่ไกลกัน จะเห็นอาคารสามชั้นสีเขียวซีดเซียวมียอดโดมน้ำตาลแดงบนปีกตึกทุกด้าน นั่นเป็นกองบัญชีกลางที่คอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการจำหน่ายฝิ่น ไม้สักและเกลือของสหราชอาณาจักรมาก่อน
บนถนนสแตรนด์ ยังมีไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดคือโรงแรม “เดอะสแตรนด์” (The Strand)โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมวิคตอเรีย สร้างขึ้นเมื่อปี 1896 โดยสองพี่น้องตระกูลซาร์กี้ (Sarkie) ผู้เลื่องชื่อด้านการก่อตั้งโรงแรมหรูในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่าง โรงแรมออเรียนทัล ( Oriental) ในมาเลเซีย และ ราฟเฟิล (Raffles) ในสิงคโปร์
โรงแรมเดอะแสตรนด์จัดเป็นสัญลักษณ์ของยุคอาณานิคมสุดขั้ว เพราะต้อนรับแต่ชนผิวขาว จนกระทั่งถูกนำไปใช้เป็นฐานปฏิบัติการของกองทัพสมเด็จพระจักรพรรดิเมื่อถูกญี่ปุ่นยึดครอง จากนั้นหลังสงครามสงบก็ถูกขายให้บริษัทพัฒนาเศรฐกิจพม่า (Burma Economic Development Corporation) ก่อนที่จะเปลี่ยนมือมาสู่เบอร์นาร์ด เปวิน (Bernard Pe Win) นักธุรกิจชาวพม่าในปี 1989 จวบจนปัจจุบัน
ถัดไปไม่ใกล้ไม่ไกล จะเห็นตึกสีขาวสะอ้าน เคยเป็นที่ตั้งของสถานทูตอังกฤษ มีชื่อไม่เป็นทางการว่าตึก เกรแฮม (Graham’s Building) ตามประวัติดั้งเดิมของอาคารนั้นถูกสร้างในค.ศ. 1898 เป็นสำนักงานของบริษัทเมสเซิส เจ แอนด์ เอฟ เกรแฮม แอนด์ โค ( Messrs J & F Graham & Co) ทำธุรกิจส่งออก-นำเข้าและประกันภัยสินค้า
ตึกศาลสูง (High Court Building) ที่ถนนปันโซดาน (Pansodan) สร้างในปี 1911 ออกแบบโดยเจมส์ แรนซัม (James Ransome )อยู่ตรงจัตุรัสใกล้ ๆ กับสวนมหาบัณฑูละ(Mahabandoola Garden) เผชิญหน้ากับอนุสาวรีย์แห่งอิสรภาพ
เห็นตึกสไตล์โคโลเนียลมากเข้า บางคนอาจรู้สึกตาลาย และสับสนระหว่างศาลสูงกับตึกตรงหัวมุมตัดถนนดาลฮูซี่ (Dalhousie) และ ถนนบาร์ (Barr) ด้วยความที่มีสีน้ำตาลอิฐสลับเหลืองที่มีหอคอยนาฬิกาเหมือนกัน ทั้งนี้ ในอดีตเป็นห้างสรรพสินค้าโรวี่แอนด์โค (Rowe & Co) ของอังกฤษ สังเกตได้ว่าบุคลิกภายนอกของศาลสูงดูขลังอำนาจมากกว่าจากสีน้ำตาลเข้มที่ระบายบนตัวอาคารเป็นหลัก จะมีเหลืองแซมก็เฉพาะชั้นล่างสุดและเล่นระดับระหว่างชั้น
อาคารใหญ่ ๆ ในสมัยนั้นมักออกแบบโดยมือโปรชาวตะวันตก แต่ก็มีคนท้องถิ่นแทรกตัวเข้ามาได้ นั่นคือ สิทถุ อู ทิน (Sithu U Tin ) ซึ่งชาวพม่าให้การยกย่องว่าเป็นสถาปนิกผู้บุกเบิกและคำว่าสิทถุแปลว่า “วีรบุรุษ” เสียด้วย เขาผู้นี้ออกแบบสถานีรถไฟ (Central Railway Station) ในปี 1910 และศาลากลาง (City Hall) ที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ วงเวียนสุเลพะยาในปี 1927 จึงเป็นผลงานแห่งความแตกต่าง มีลักษณะผสมผสานรากฐานแข็งแรงแบบตะวันตกเข้ากับศิลปะพม่า ด้วยตัวอาคารแนวสมัยใหม่สวมด้วยยอดแหลมสลักสเลาวิจิตรพิสดารอ่อนช้อย ทั้งนี้ ตัวเขาเองมีดีกรีเป็น “นักเรียนนอก” เรียนจบด้านสถาปัตยกรรมมาจากมหาวิทยาลัยบอมเบย์ในอินเดีย
บนถนนสแตรนด์ก่อนเข้าสู่ถนนเตียนพยู (Thien Phyu) จะสะดุดตากับตึกใหญ่ที่มีความสำคัญในฐานะเป็นกองบัญชาการตำรวจข้าหลวงอังกฤษมาก่อน ซึ่งปัจจุบันชาวบ้านร้านตลาดถูกกีดกันไม่ให้เดินผ่าน แต่ต้องข้ามถนนไปเดินห่าง ๆ อยู่อีกฟากหนึ่ง เพราะที่แห่งนี้คือสำนักงานใหญ่กรมตำรวจ จึงเป็นกฏที่ผู้มาเยือนควรจำให้ขึ้นใจว่า ไม่ควรเผลอถ่ายรูปเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารและกิจการของรัฐบาลโดยเด็ดขาด
ส่วนตึกสีน้ำตาลทรงคล้ายป้อมปราการกินอาณาบริเวณกว้างขวางตรงตัวมุมถนนThien Phyu ตัดกับถนนอโนรธา (Anawrahta) ตึกสุดแสนอลังการซึ่งปัจจุบันถูกทิ้งร้างปิดตาย หลังนี้เคยเป็นที่ทำการของคนระดับบิ๊ก ๆ ในยุคอาณานิคม จากนั้นรัฐบาลทหารพม่าก็นำมาใช้เป็นสำนักรัฐมนตรี (Minister’s Office บ้างก็เรียกว่า Secretariat) เป็นที่เดียวกับที่นายพลอองซาน (บิดาของนางอองซานซูจี) ผู้นำในการเรียกร้องสันติภาพคืนจากอังกฤษและรัฐมนตรีอีก 6 คนถูกลอบสังหารในวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947 ) เกิดขึ้นหลังจากนายพลอองซานขึ้นนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนแรกของพม่าได้เพียง 6 เดือนเท่านั้น
ริมแม่น้ำอิระวดียังมีร่องรอยผลประโยชน์ด้านขนส่งทางน้ำของอังกฤษที่สะดุดตาอย่างยิ่ง นั่นคือสำนักงานของบริษัทอิระวดีโฟว์ทิล่า ( Irrawaddy Floatila) ก่อตั้งในปี 1865โดยนักธุรกิจจากสก๊อตแลนด์ ตั้งแต่เมื่อครั้งแผ่นดินยังอยู่ใต้การปกครองของพระเจ้ามินดง ปัจจุบันถูกยึดเป็นของรัฐบาลชื่อว่าอินแลนด์วอเตอร์ ( Inland Water Transport)
ช่วงถนนแฟร (Phayre) ตัดกับถนนแบงค์ (Bank) จะพบตึกแนวอาร์ตเดคโค ที่มีรูปทรงเส้นเสาผสมผสานโครงสร้างแบบเรขาคณิต ให้ความรู้สึกเรียบหรู เชื่อกันว่าเคยเป็นธนาคารการค้าสำหรับอินเดีย ออสเตรเลียและจีนมาก่อน
ยังมีสถาปัตยกรรมวิคตอเรียที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งที่ถนนลันมะดาว (Lanmadaw) ที่นี่มีโรงพยาบาลทั่วไป (Yangon General Hospital) รูปทรงตึกสามชั้นระบายสีน้ำตาลแซมเหลือง สร้างในปี 1899 นอกจากจะรักษาผู้ป่วยมาตั้งแต่ยุคอาณานิคม ยังจารึกรอยประวัติศาสตร์ของเหตุการณ์ 8888 ซึงประชาชนออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยและเกิดเหตุจราจลบาดเจ็บล้มตายจำนวนมากในวันที่ 8 เดือนสิงหาคม 1988 และเป็นสถานที่นางอองซานซูอีแถลงต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 ในเดือนและปีเดียวกัน
ตรงข้ามโรงพยาบาลทั่วไป จะมีตึกทรงเตี้ยสองชั้นสีน้ำตาลสลับสีขาวตามขอบหน้าต่างใหญ่สองตอนขอบโค้ง ที่แห่งนี้เคยเป็นวิทยาลัยการแพทย์ตั้งแต่ปี 1929 ตามประวัติเล่าว่าเป็นการขยับขยายจากการศึกษาในโรงพยาบาลฝั่งตรงข้ามนั่นเอง
ใครต่อใครที่มาเยือนย่างกุ้งต่างต้องมาเดินชมสินค้านานาชนิดที่ตลาดโบจ๊ก อองซาน (Bogyoke Aung San ) ที่ทอดตัวยาวริมถนนชื่อเดียวกัน ตลาดนี้สร้างขึ้นสมัยอาณานิคมเช่นกัน เมื่อปี1926 สมัยโน้นใช้เป็นสถานีรถราง ในเวลาต่อมาใช้เป็นแหล่งจับจ่ายสินค้าก็มีนามเรียกขานกันว่าตลาดสก๊อต (Scott Market) โดยตั้งตามเจมส์ จอร์จ สก๊อต (James George Scott) ข้าหลวงชาวอังกฤษที่ว่ากันว่าทำให้คนพม่ารู้จักกีฬาฟุตบอล ส่วนถนนก็มีชื่อว่าข้าหลวงมอนต์โกเมอรี่ (Montgomery Commissioner) พอมาสมัยได้รับอิสรภาพคืน ก็ตั้งชื่อให้เกียรตินายพลอองซาน (“โบจ๊ก” แปลว่านายพล) วีรบุรุษในใจของคนในประเทศแทน
ที่พึ่งทางใจของชาวตะวันตกในยุคนั้นย่อมไม่พ้นโบสถ์ ที่เด่น ๆ ก็มีโบสถ์ศาสคณะแห่งเมทอดิสต์ (Methodist Episcopal Church)บนหัวมุมถนนเฟรเซอร์ (Fraser) ตัดกับถนนแฟร ซึ่งอยู่คู่เมืองมาตั้งแต่ปี 1880 นอกจากนี้ยังมีโบสถ์นิกายโรมันคาทอลิกชื่อ เซนต์แมรี่ (St. Mary’s Cathedral) บนถนนสปาร์ค (Spark) ก่อตั้งขึ้นปี 1908 มีโรงเรียนเซนต์พอล (St. Paul) อยู่ข้าง ๆ และโบสถ์เพรสไบทีเรีย (Presbyterian) ซึ่งเป็นนิกายโปรแตสเตนต์แขนงหนึ่ง โดยโบสถ์นี้มีความเก่าแก่น้อยลงมา 20 ปี ปัจจุบันใช้ชื่อว่าโบสถ์แบ๊บติสต์เมียวม่า ( Myo Ma Baptist Church) อยู่ใกล้ ๆ ถนนสายหลักของเจดีย์ชเวดากอง
ดังนั้น “ย่างกุ้ง” ยังคงอบอวลไปด้วยร่องรอยประวัติศาสตร์ยุค “ล่าอาณานิคม” อย่างยิ่ง หากไม่รวมสถานที่ภาคบังคับสำหรับนักท่องเที่ยว เช่น ชเวดากองเจดีย์อร่ามทองอายุสองพันกว่าปี โรงช้างเผือก พระนอน ฯลฯ รวมทั้งสถานที่ธรรมชาติอย่างทะเลสาบหลวงกันดอว์จีที่ตั้งของเรือการะเวกจำลอง จุดชมวิวหรูหราราคาแพงและทะเลสาบอินยาบริเวณกักตัวนางอองซานซูจี หรือ “The Lady”
หากจะกล่าวว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่พม่าอยากลบเลือนเหล่านี้ยังคงหนาแน่นชุกชุมจัดว่าสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียคงไม่ผิด แม้สภาพอาจจะทรุดโทรมไปบ้างตามกาลเวลา ขอเพียงแต่รู้จักรักษาให้คงไว้ ย่อมทรงคุณค่าต่อการศึกษาอดีตสืบไปตามที่ปรากฏในรายชื่อ “มรดกแห่งเมืองย่างกุ้ง”
(e-MoF Magazine ปีที่ 5 ฉบับที่ 53)